
"....ในปี ค.ศ. 1925 (พ.ศ. 2468) เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้ว และได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีความจัดเจน และโดยปราศจากความจัดเจน บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะ มี...ในปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน...และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น (พ.ศ.2489 - 90) ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”

คนที่ผมจะเขียนถึงท่านเป็นรัฐบุรุษอาวุโส เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่8 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การ(หรืออธิการบดีในปัจจุบัน)คนแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราท่านต่างก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว ท่านก็คือศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรมนั่นเอง
ท่านเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยเราจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 โดยการก่อการในครั้งนั้นเริ่มจากการพูดคุยกันที่ปารีสระหว่าง ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี กับ นายปรีดี ในเรื่องความเสื่อมโทรมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และัปัญหาต่างๆ จนมีการจัดตั้งคณะราษฎรและประชุมกันครั้งแรกในหอพักแห่งหนึ่งที่ Rue Du Somerard ซึ่งนั่นเป็นการรวมตัวของปัญญาชนนักเรียนนอกชาวไทยครั้งสำคัญครั้งหนึ่งเลยทีเดียวเพราะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทางการเมืองของบ้านเรา
ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือนในครั้งนั้น และยังเป็นผู้นำขบวนเสรีไทยอีกในการต่อต้านญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยในคราวหลังนี้ได้ช่วยให้ประเทศไทยไม่ต้องเป็นประเทศแพ้สงครามด้วย
ท่านได้ทำประโยชน์มากมายแก่ประเทศชาติทั้งในการรับราชการ เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งด้านการต่างประเทศ ด้านเศษฐกิจ และด้านต่างๆ ควรค่าแก่การยกย่องและเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งในการทำงานอย่างสุดความสามารถ มีความอดทน เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ
ผมคงไม่เขียนถึงประวัติและผลงานของท่านมากมายอะไรนักนะครับ เพราะมีข้อมูลให้หามากมายอยู่แล้ว พอจะทราบกันแล้วว่าท่านเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างไร ทีนี้เรามาดูถึงสิ่งที่น่าสนใจจากชีวิตของท่านกันดีกว่าครับ

สิ่งที่ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งจากการฟังท่านให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุบีบีซีเรื่องความผิดพลาดบกพร่องของคณะราษฎรคือ ท่านสำรวจและมองเห็นความผิดพลาดบกพร่องของตนเอง คณะราษฎรนั้นผิดพลาดตรงไหนบ้าง และตัวท่านเองนั้นมีข้อบกพร่องอย่างไร ตรงนี้น่าสนใจนะครับ การที่เราสำรวจตัวเองและพบว่าตนเองผิดพลาดหรือบกพร่องอย่างไร ยอมรับและนำมาปรับปรุงตัวเองนั้นทำให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้ครับ
ในคณะราษฎรนั้นก็มีความขัดแย้งเกิดขึ้นหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองได้แล้ว ซึ่งท่านกล่าวว่าสมาชิกส่วนใหญ่ได้ขาดการระมัดระวังต่อการที่สมาชิกจำนวนหนึ่งทำสิ่งที่ท่านใช้คำว่า โต้อภิวัฒน์หรือ counter-revolution ต่อการอภิวัฒน์ที่ตนได้เคยพลีชีวิตร่วมกับคณะ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคณะราษฎรหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นคือการยึดอำนาจกันเอง ล้มล้างกันเอง เพราะความเห็นแก่ตัว หลงในอำนาจ เมื่ออีกคนขึ้นมามีอำนาจก็ถูกอีกพวกโค่นลงทั้งที่เคยต่อสู้มาด้วยกันท่านปรีดีเองก็ถูกขับออกนอกประเทศ และรัฐมนตรีที่สนับสนุนท่านก็ถูกสังหารเรียบ อีกทั้งยังมีเรื่องของการคอรัปชั่น ประเทศไทยจึงไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่กลับต้องพบเจอกับเผด็จการทหาร มีรัฐประหารถึง12 ครั้ง!
แท้จริงเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ท่านปรีดี พนมยงค์มีความขัดเจนมากว่า ต้องการเห็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และไม่ได้หยุดแค่การเมือง แต่ต้องการให้เกิดประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และวิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตยด้วย
อุดมการณ์ของท่านนั้นผมคิดว่าน่าเอาเป็นแบบอย่างครับ การคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าคิดถึงประโยชน์ของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่น่ายกย่องครับ แม้ขนาดตอนที่ลูกชายท่าน คุณปาล พนมยงค์ ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่นาน ท่านยังพูดถึงลูกชายที่อยู่ไกลกันมากว่า "ปาลนี่ไม่น่าอายุสั้นเลย ยังไม่ได้มีโอกาสทำประโยชน์ให้ประเทศชาติคุ้มกับที่เกิดมา" นี่เป็นสิ่งที่ีแสดงให้เห็นถึงความคิดของท่านที่เห็นว่าคนเราเกิดมาต้องทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ
การได้ศึกษาชีวิตและผลงานของท่านปรีดี พนมยงค์ เราจะได้แบบอย่างที่ดีทั้งการต่อสู้เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง แบบอย่างของการเสียสละ การคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆเพื่อความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง รวมถึงการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสมถะหลังการวางมือทางการเมือง การมีคู่ชีวิตที่ดีอย่างท่านผู้หญิงพูนศุข แม้จะต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ อาจจะต้องลำบากตรากตรำ แต่ก็สามารถมีความสุขได้ เห็นภาพแล้วทั้งน่ารักและน่าอิจฉาจริงๆ ที่มีคนดูแลกันไปจนวันสุดท้าย

การคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว นี่น่าจะเป็นคุณธรรมที่ดีที่สามารถทำได้ไม่ยากนะครับ การที่เรามีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นนั้นนอกจากจะไม่เป็นผลดีแล้วยังไม่จีรังอีกด้วย
มีตัวอย่างของคนไทยที่เก่ง มีความสามารถ และเสียสละ ต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองอย่างนี้แล้ว เราก็อย่าให้น้อยหน้านะครับ ในฐานะคนไทยคนนึง ไม่ต้องทำอย่างเค้าก็ได้ครับ เพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และก็เห็นแก่ประโยชน์ของชาติ ไม่ทำร้ายบ้านเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เราและประเทศที่เรารักก็คงจะมีความสุขแล้วล่ะครับ
แฟ้ม...
ตอบลบขอโทษที่อาจจะเข้ามาอ่านเรื่องของแฟ้มช้าไป...แต่ก็ดีกว่าไม่มา
แฟ้มใช้วิธีเล่าเรื่องเรียบง่ายไม่โลดโผน แต่ก็น่าติดตามอยู่ไม่น้อย เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าจะมีแควน ๆ ชื่นชอบ และเป็นกำลังใจให้
ก็ขอแสดงความชื่นชอบ และเป็นกำลังใจให้กับแนวทางของแฟ้มต่อไป
อ้อ...อีกนิดหนึ่ง แฟ้มรู้จักค้นหาภาพประกอบที่ดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ ...ซึ่งทำให้เรื่องดูน่าสนใจเพิ่มอีกไม่น้อย...
...เป็นกำลังใจให้..
อาจารย์แรก