วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เราได้อะไรจากรัฐบุรษอาวุโสปรีดี พนมยงค์


"....ในปี ค.ศ. 1925 (พ.ศ. 2468) เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้ว และได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีความจัดเจน และโดยปราศจากความจัดเจน บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะ มี...ในปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน...และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น (พ.ศ.2489 - 90) ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”



คนที่ผมจะเขียนถึงท่านเป็นรัฐบุรุษอาวุโส เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่8 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การ(หรืออธิการบดีในปัจจุบัน)คนแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราท่านต่างก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว ท่านก็คือศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรมนั่นเอง

ท่านเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยเราจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 โดยการก่อการในครั้งนั้นเริ่มจากการพูดคุยกันที่ปารีสระหว่าง ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี กับ นายปรีดี ในเรื่องความเสื่อมโทรมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และัปัญหาต่างๆ จนมีการจัดตั้งคณะราษฎรและประชุมกันครั้งแรกในหอพักแห่งหนึ่งที่ Rue Du Somerard ซึ่งนั่นเป็นการรวมตัวของปัญญาชนนักเรียนนอกชาวไทยครั้งสำคัญครั้งหนึ่งเลยทีเดียวเพราะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทางการเมืองของบ้านเรา

ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือนในครั้งนั้น และยังเป็นผู้นำขบวนเสรีไทยอีกในการต่อต้านญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยในคราวหลังนี้ได้ช่วยให้ประเทศไทยไม่ต้องเป็นประเทศแพ้สงครามด้วย

ท่านได้ทำประโยชน์มากมายแก่ประเทศชาติทั้งในการรับราชการ เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งด้านการต่างประเทศ ด้านเศษฐกิจ และด้านต่างๆ ควรค่าแก่การยกย่องและเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งในการทำงานอย่างสุดความสามารถ มีความอดทน เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ

ผมคงไม่เขียนถึงประวัติและผลงานของท่านมากมายอะไรนักนะครับ เพราะมีข้อมูลให้หามากมายอยู่แล้ว พอจะทราบกันแล้วว่าท่านเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างไร ทีนี้เรามาดูถึงสิ่งที่น่าสนใจจากชีวิตของท่านกันดีกว่าครับ



สิ่งที่ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งจากการฟังท่านให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุบีบีซีเรื่องความผิดพลาดบกพร่องของคณะราษฎรคือ ท่านสำรวจและมองเห็นความผิดพลาดบกพร่องของตนเอง คณะราษฎรนั้นผิดพลาดตรงไหนบ้าง และตัวท่านเองนั้นมีข้อบกพร่องอย่างไร ตรงนี้น่าสนใจนะครับ การที่เราสำรวจตัวเองและพบว่าตนเองผิดพลาดหรือบกพร่องอย่างไร ยอมรับและนำมาปรับปรุงตัวเองนั้นทำให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้ครับ

ในคณะราษฎรนั้นก็มีความขัดแย้งเกิดขึ้นหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองได้แล้ว ซึ่งท่านกล่าวว่าสมาชิกส่วนใหญ่ได้ขาดการระมัดระวังต่อการที่สมาชิกจำนวนหนึ่งทำสิ่งที่ท่านใช้คำว่า โต้อภิวัฒน์หรือ counter-revolution ต่อการอภิวัฒน์ที่ตนได้เคยพลีชีวิตร่วมกับคณะ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับคณะราษฎรหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นคือการยึดอำนาจกันเอง ล้มล้างกันเอง เพราะความเห็นแก่ตัว หลงในอำนาจ เมื่ออีกคนขึ้นมามีอำนาจก็ถูกอีกพวกโค่นลงทั้งที่เคยต่อสู้มาด้วยกันท่านปรีดีเองก็ถูกขับออกนอกประเทศ และรัฐมนตรีที่สนับสนุนท่านก็ถูกสังหารเรียบ อีกทั้งยังมีเรื่องของการคอรัปชั่น ประเทศไทยจึงไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่กลับต้องพบเจอกับเผด็จการทหาร มีรัฐประหารถึง12 ครั้ง!

แท้จริงเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ท่านปรีดี พนมยงค์มีความขัดเจนมากว่า ต้องการเห็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และไม่ได้หยุดแค่การเมือง แต่ต้องการให้เกิดประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และวิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตยด้วย

อุดมการณ์ของท่านนั้นผมคิดว่าน่าเอาเป็นแบบอย่างครับ การคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าคิดถึงประโยชน์ของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่น่ายกย่องครับ แม้ขนาดตอนที่ลูกชายท่าน คุณปาล พนมยงค์ ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่นาน ท่านยังพูดถึงลูกชายที่อยู่ไกลกันมากว่า "ปาลนี่ไม่น่าอายุสั้นเลย ยังไม่ได้มีโอกาสทำประโยชน์ให้ประเทศชาติคุ้มกับที่เกิดมา" นี่เป็นสิ่งที่ีแสดงให้เห็นถึงความคิดของท่านที่เห็นว่าคนเราเกิดมาต้องทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ

การได้ศึกษาชีวิตและผลงานของท่านปรีดี พนมยงค์ เราจะได้แบบอย่างที่ดีทั้งการต่อสู้เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง แบบอย่างของการเสียสละ การคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆเพื่อความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง รวมถึงการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสมถะหลังการวางมือทางการเมือง การมีคู่ชีวิตที่ดีอย่างท่านผู้หญิงพูนศุข แม้จะต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ อาจจะต้องลำบากตรากตรำ แต่ก็สามารถมีความสุขได้ เห็นภาพแล้วทั้งน่ารักและน่าอิจฉาจริงๆ ที่มีคนดูแลกันไปจนวันสุดท้าย


การคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว นี่น่าจะเป็นคุณธรรมที่ดีที่สามารถทำได้ไม่ยากนะครับ การที่เรามีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นนั้นนอกจากจะไม่เป็นผลดีแล้วยังไม่จีรังอีกด้วย

มีตัวอย่างของคนไทยที่เก่ง มีความสามารถ และเสียสละ ต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองอย่างนี้แล้ว เราก็อย่าให้น้อยหน้านะครับ ในฐานะคนไทยคนนึง ไม่ต้องทำอย่างเค้าก็ได้ครับ เพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และก็เห็นแก่ประโยชน์ของชาติ ไม่ทำร้ายบ้านเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เราและประเทศที่เรารักก็คงจะมีความสุขแล้วล่ะครับ








วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Justice is ?


ความยุติธรรมคืออะไร?

เราเคยสงสัยกันมั้ยครับ แล้วเราเข้าใจคำๆนี้มากน้อยแค่ไหน

จริงๆแล้วความยุติธรรมมันมีกี่มาตรฐานกันนี่?

เท่าที่ผมรู้ มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่ใครหลายๆคนเรียกร้อง

แม้กระทั่งท่านอดีตนายกรัฐมนตรีผู้อยู่ไกลบ้านยังยืนยัน
ว่าจะต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองไม่ว่าจะอยู่ในนรกหรือสวรรค์

ตายไปแล้วก็จะยังไม่ยอมไปผุดไปเกิดจนกว่าจะได้พบกับคำว่า ความยุติธรรม!

จริงๆแล้วความยุติธรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริงแบบสากลที่มีมาตรฐานเดียวกันหมด แต่มันเป็นความจริงแบบสัมพัทธ์ คือขึ้นอยู่กับว่าเราจะพูดถึง อ้างถึงกันในแง่ไหน

ถ้าถามความยุติธรรมในมุมมองของสังคมนิยมนั้นก็ต้องบอกว่า ประชาชนทุกคนมีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกัน ประชาชนมีรายได้ทั่วถึงกัน เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกัน แบ่งงานกันทำตามหน้าที่

แต่ถ้าเป็นเสรีนิยมก็ต้อง ทุนนิยม ประชาชนมีโอกาสไม่เท่ากัน ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย สุดแล้วแต่ว่าใครจะมีพื้นฐานอย่างไร แต่ก็มีสิทธิ เสรีภาพเสมอภาคกัน

ความยุติธรรมสำหรับท่านอดีตนายกฯท่านนั้น อาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับคนบางกลุ่มก็ได้

มีนักปรัชญาท่านนึงครับ เค้ามีแนวคิดเกี่ยวกับความยุติธรรมที่น่าสนใจอยู่



John Rawls (February 21, 1921November 24, 2002)

คุณ จอห์น รอลส์ นี่เขาเป็นนักปรัชญาชาวอเมริกันครับ เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง A Theory of Justice (1970) ทฤษฎีของความยุติธรรม โดยได้นำแนวคิดแบบการทำสัญญาประชาคมมาอธิบายใหม่ ไม่ใช่เพื่ออธิบายความชอบธรรมของอำนาจรัฐ แต่เพื่อใช้โต้แย้งให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง โดยเขาเสนอความเป็นธรรม (Justice) คือการแบ่งปันกันอย่างยุติธรรม (Fairness) ครับ

คุณรอลส์เนี่ยมองว่าคนทุกคนต้องการอยู่ในสังคมที่มีการเคารพเสรีภาพทางการเมือง และความยุติธรรมถือเป็นของสากลและของสาธารณะ แต่เนื่องจากคนแต่ละคนไม่รู้จักจุดแข็ง ฐานะทางสังคม ความผูกพันทางศีลธรรมของตัวเขาเองดีพอ ดังนั้นแทนที่เราจะหาประโยชน์ในตัวเองมากที่สุด คนจะใช้วิธีป้องกันให้ตัวเองเสียประโยชน์น้อยที่สุด นั่นก็คือคนต้องการเสรีภาพและโอกาสการเข้าถึงที่เท่าเทียมกับคนอื่น ดังนั้นสังคมที่มีเหตุผล คือสังคมที่ช่วยให้คนที่มีโอกาสน้อยหรือจนที่สุด ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐมากที่สุด เพื่อให้คนทั้งสังคมมีโอกาสเท่าเทียมกัน

สังคมที่จะสร้างเสรีภาพและโอกาสที่เท่าเทียมกันได้ในทัศนะของเขา คือ ระบบประชาธิปไตยแบบมีรัฐธรรมนูญ ควบคู่ไปกับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และมีรูปแบบของสังคมนิยมแบบประชาธิปไตย (Democratic Socialism) ในบางระดับ เพื่อคอยจัดการกระจายทรัพย์สินใหม่ให้เป็นธรรมขึ้น

ผมว่าแนวคิดของคุณรอลส์เนี่ยเข้าท่าดีนะครับ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป มีเศรษฐกิจเสรี มีการแข่งขัน มีเสรีภาพเท่าเทียมกัน แต่ก็มีส่วนที่ดีของสังคมนิยมด้วย ควบคู่กันไป

ที่จริงแล้วผมชอบและเห็นด้วยกับทั้งเสรีนิยมและสังคมนิยมเลยล่ะครับ แต่ผมคิดว่าถ้ามันอยู่ตรงกลาง มีความพอดี ก็จะทำให้มีสังคมที่ดีได้ มีความเป็นธรรม มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมน้อยกว่าที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน เราทุกคนก็เกิดมาเป็นคนเหมือนกันนี่นา คนจนหรือด้อยโอกาสก็ควรจะได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลจากรัฐให้มากพอสมควร คนรากหญ้าจะได้ไม่ลำบากแบบที่เป็นอยู่ไงครับ มีการกระจายรายได้รวมทั้งการศึกษา และสาธารณสุขที่ทั่วถึง ทีนี้ความแตกต่างทางชนชั้น เงินทอง การศึกษา ระหว่างชนชั้นล่างกับชนชั้นสูงก็จะลดลง ที่เขาขาดรัฐก็ช่วยๆเติมให้เขา ซึ่งแม้จะบอกว่ามาจากเงินภาษีของคนทั้งประเทศ แต่คนจนมีรายได้น้อยนั้นมีจำนวนมากอยู่นะครับ แบ่งๆกัน พอๆกัน แต่ก็มีเสรีภาพในการดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจ ผมว่าก็ดีนะครับ

ตอนที่เขียนอยู่เนี่ยพระจันทร์เต็มดวงสวยมากเลย ไม่ว่าเราจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ถ้าออกมายืนมองท้องฟ้าตอนกลางคืนแบบนี้ ก็จะเห็นพระจันทร์สวยๆแบบที่ผมเห็นเหมือนกันหมดแหละครับ

พระจันทร์นี่ยุติธรรมดีนะครับ



"ถ้าท่านรู้สึกสั่นไหว และขุ่นเคืองกับความอยุติธรรม ท่านก็คือสหายของข้าพเจ้า"

เช เกบารา



วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แด่...ทหารกล้า ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้


ราตรีสวัสดิ์ (Goodnight)

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ Feat. ธีร์ ไชยเดช

วันนี้ฉันมีนิทาน อยากเล่าให้เธอฟัง
นิทานเรื่อง ท ทหาร อดทน
เวลาเค้ายืนเค้าแนบปืนกลไว้ข้างกาย
ทั้งที่เค้าไม่เคยใจร้ายและไม่เคยคิดฆ่าคน
แต่เป็นอีกคืนที่เค้าต้องออกลาดตระเวน
เป็นหน้าที่ของกองพันทหารราบผู้รักตัวเอง
น้อยกว่าชนในชาติไทย
เพราะรู้ว่าเลือดเนื้อเค้าจะสละไม่ให้เราเป็นทาสใคร
ในขณะนั้น ผู้ก่อการร้ายซุ่มโจมตี
เสียงปืน ดังสนั่นตอนเวลาเลยเที่ยงคืนกว่า
เสียงระเบิดดังก้องกึกไปทั่วทั้งป่า
พร้อมเสียงกระสุนปืนทะลุตัวจ่า
เค้ารีบยกปืนกลข้างกายประทับบ่า
ในขณะที่ยิงสวนไปเค้าคิดแต่ว่า
ถ้าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของชีวิต
เค้าก็ยินดีที่จะสละทุกอย่างด้วยยศอันน้อยนิด
ขอเพียงคนในชาติได้หลับสบาย
เค้าจะยืนหยัดปกป้องแผ่นดินแม้ชีพมลาย

ในราตรีที่ด้ามขวานลุกเป็นไฟ
ประเทศไทยเจ้าเอ๋ยมีคนฝากเพลงนี้มาให้

หลับตาเถอะนะ ขอให้เธอหลับฝันดี
คืนนี้ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ฉันจะดูแลด้วยชีวิตของฉัน

ในคืนที่ผมกินเหล้าอยู่นั่งเล่น
ในคืนที่ป้าข้างห้องยังตั้งวงป๊อกเด้ง
คืนที่เด็กมัธยมนั่งท่องตำราเอนท์จุฬา
คืนที่ใครหลายคนลืมชื่อคนเดือนตุลา
คืนที่คุณนอนหลับอยู่บนเตียง
ทั้งหมดคือคืนเดียวกันกับเสียงปืนที่ดังเปรี้ยง
ของทหารต่อต้าน ข.จ.ก.
ผู้ไม่ยอมให้ใครมาเผาโรงเรียน เผาตำรา ส.ป.ช.
และยังไม่มีตอนจบของนิทาน
มีเพียงแต่ตอนรุ่งสางไม่เป็นศพก็พิการ
เพราะในทุกเช้าที่เราตื่นมาเมาขี้ตา
มันคือเช้าแห่งการสูญเสียที่ 5 องศา 37 ลิปดา
เขาตายเพื่อคนในชาติได้หลับสบาย
เขาจะยืนหยัดปกป้องแผ่นดินแม้ชีพมลาย

ในราตรีที่ด้ามขวานลุกเป็นไฟ
ประเทศไทยเจ้าเอ๋ยมีคนฝากเพลงนี้มาให้

หลับตาเถอะนะ ขอให้เธอหลับฝันดี
คืนนี้ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ฉันจะดูแลด้วยชีวิตาจะร้องไห้ของฉัน
ฝากดาวบนฟ้า ร้องเพลงนี้ให้เธอฟัง
หากฉันไม่ได้กลับ อย่างน้อยให้เธอหลับสบายก็พอแล้ว


ใครได้ฟังเพลงนี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมเท่าไหร่มั้งครับว่าอยากจะร้องไห้ รู้สึกชื่นชมความเสียสละของเหล่าทหารกล้าที่ทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุดเพื่อชาติ แม้จะต้องสละความสุข ความสบาย หรือแม้แต่ชีวิต คนที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้น ทั้งครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง ลูกเมีย ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แต่เค้าทำเพื่อชาติครับ เพื่อคนทั้งชาติ นั่นคือหน้าที่

แล้วหน้าที่ของเราคืออะไรล่ะ

หน้าที่ของเรามีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อชาติถึงขนาดต้องเอาชีวิตเข้าแลกหรือไม่ หน้าที่ของเราอาจจะไม่ต้องไปเสียงภัยอย่างเขา อยู่ท่ามกลางอันตรายจากผู้ก่อการร้ายที่ไม่สนใจว่าจะต้องฆ่าใคร อย่างไร ไม่มีความปราณีใดๆ เีพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง หน้าที่ของพวกเราคงไม่ลำบากเหมือนพวกเขาใช่มั้ยครับ

คงไม่ยากหากเราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีอย่างเขาบ้าง คิดและทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อชาติ เพื่อสังคมบ้าง อย่างคนแต่งเพลงนี้เค้าก็ทำหน้าที่ศิลปินของได้ดีที่สุดแล้วเพื่อแต่งเพลงให้เราฟังพร้อมทั้งเตือนให้เราตระหนักถึงความเสียสละของทหารหาญ

แล้วเราล่ะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้วรึยัง (ผมไม่บ้าปรัชญาค้านท์นะเนี่ย)

ขอบคุณ FH สำหรับเพลงดีๆครับ