วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สังคมในอุดมคติ


Sir Karl Raimund Popper (28 July 1902 – 17 September 1994)

ทุกคนเคยฝันถึงสังคมในอุดมคติกันมั้ยครับ หรือว่าฝันถึงแต่สาวๆในอุดมคติ ขาว สวย หมวย เอ็กซ์ อะไรประมาณนั้น(ใครกันแน่เนี่ย) หรือฝันถึงนวัตกรรมใหม่ๆในอุดมคติ ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต(ว่าไปนั่น)

แต่สังคมหรือรัฐในอุดมคติพวกเนี้ยก็มีนักคิดที่เค้าคิดกันไว้หลายแบบหลายอย่างแล้ว คอมมิวนิสต์ก็แบบนึง เสรีนิยมประชาธิปไตยก็แบบนึง แล้วแบบไหนจะดีที่สุดล่ะเนี่ย ผมเห็นด้วยกับแนวคิดของอีตาลุงข้างบนนั่นน่ะ เขาคือ คาร์ล ปอปเปอร์ เป็นนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรีย แกไปทำงานอยู่ที่อังกฤษไปสอนหนังสือ แล้วก็เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม คุณลุงปอปเปอร์เนี่ยแกมองว่าความจริงแท้นั้นไม่มี ในทางการเมืองนั้น ใครจะอ้างว่าทัศนะของตัวเองถูกที่สุด
ทั้งหมดนั้นไม่มีเหตุผลรองรับได้ การเมืองก็เหมือนกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงไม่มีทางสร้างสังคมในอุดมคติแบบใดแบบหนึ่งขึ้นมาได้ เราต้องพยายามแก้ปัญหาไปตลอดเวลา แต่แกเห็นว่า สังคมที่ผู้สร้างนโยบายจะแก้ปัญหาในเชิงปฏิบัติได้ดีที่สุดคือ สังคมเปิด(Open Society)

แล้วสังคมเปิดคืออะไรกันล่ะเนี่ย

คุณลุงปอปเปอร์เขียนไว้ในหนังสือชื่อ The Open Society and Its Enemies ซึ่งเขาเสนอถึงลักษณะของสังคมปิด คือ มีลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์นิยม อันเป็นการศึกษาข้อมูลในประวัติศาสตร์ และไปกำหนดเหตุการณ์ในอนาคต ส่วนลักษณะอีกประการหนึ่ง สังคมปิดเป็นสังคมที่มีชีวิต โดยการทำให้ทุกชีวิตถูกเกี่ยวโยงกันเป็นหน่วยร่วมกันขึ้นต่อรัฐ

ส่วนลักษณะของสังคมเปิด ปอปเปอร์ เห็นว่าควรมีพื้นฐานว่า อำนาจ รัฐไม่ควรอยู่ในมือใครกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด โดยรัฐก็ควรควบคุมระดับเสรีภาพไม่ให้มีการแทรกแซงในเรื่องเศรษฐกิจและชีวิต ทางสังคมมากเกินไป และให้ผู้คนมีสิทธิ์เข้ามีส่วนร่วมในสถาบันต่างๆ ที่รัฐสร้างขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถวิพากษ์วิจารณ์ความคิดต่างๆ ได้โดยเสรี และสังคมแบบนี้เป็นสังคมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง (อาจหมายถึงการปฏิวัติ) แต่ทั้งนี้ปอปเปอร์ก็ไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่า สังคมเปิดนั้นเป็นสังคมประชาธิปไตย แต่อย่างใด

ผมว่าสังคมที่ยอมรับการอภิปราย การวิพากษ์วิจารณ์ เปิดกว้างทางความคิด เป็นสังคมที่ดีนะครับ มีอะไรก็คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดกัน น่าจะทำให้ไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งหลายๆเรื่องเหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ผมว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุผลนะครับ น่าจะพูดกันด้วยเหตุด้วยผลได้ ไม่ควรมีการใช้กำลัง ใช้อำนาจ อะไรต่างๆทำร้ายกัน เราไม่ควรเป็นสังคมปิดที่ยึดติดกับประวัติศาสตร์มากเกินไป เราก็รู้นี่ครับว่าประวัติศาสตร์น่ะ มันเขียนขึ้นตามเจตนารมย์ของผู้เขียน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไป ดังนั้นผมจึงคิดว่าOpen Society นี่แหละที่เป็นสังคมในอุดมคติของผม ยิ่งคุยกันมาก แลกเปลี่ยนความคิดกันมาก ยอมรับความเห็นต่างซึ่งกันและกัน ก็จะพัฒนาทั้งความรู้และจิตใจของปัจเจกและสังคมไปด้วย คนเราเห็นต่างได้ครับ แต่ต้องมีเหตุผล และต้องยอมรับเหตุผลซึ่งกันและกัน อย่ามองคนอื่นในแง่ลบไปหมด ฟังเหตุผลของคนอื่นบ้างว่าเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้หรือไม่ มองในมุมเราอาจจะไม่เข้าใจเขา แต่บางครั้งเราไปยืนอยู่ในมุมของเขาเราก็จะเข้าใจเองแหละครับ อยู่ที่ว่าเราจะมีใจเปิดกว้างยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างหรือเปล่า เท่านั้นเอง

เหมือนปัญหาที่เราเห็นกันอยู่ ความแตกแย้งที่เกิดขึ้น ประชาธิปไตยเนี่ย เค้าว่า คนเรามีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ก็ต้องยอมรับความเห็นต่างด้วย คำว่ายอมรับเนี่ยมันได้แปลว่าเราแพ้หรือเราผิดนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ความแตกแย้งดำเนินเรื่อยไป เราก็น่าจะสนใจเรื่องการยอมรับความเห็นต่าง มากกว่าผลประโยชน์ ไม่ใช่มองว่าอีกฝั่งที่ไม่คิดเหมือนเราเขาผิด และเราถูก เพราะเขาแพ้เราเลยมีความชอบธรรม เราเลยเป็นความถูกต้อง คนเรามีสิทธิเท่าเทียมกันครับ มีคุณค่ามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนๆกัน ต่างกันตรงหน้าที่ของแต่ละคนต่างกัน เลยดูเหมือนคนเราสูงต่ำไม่เท่ากัน ถ้ายอมรับความต่างได้ ก็จะอยู่ร่วมกันได้

ไม่ยากนะครับจริงๆแล้วเนี่ย


"คนถูกฆ่าเนื่องจากความโง่เขลามากกว่าจากความชั่วร้าย"

คาร์ล ปอปเปอร์








5 ความคิดเห็น:

  1. ถ้าทุกคนยอมรับข้อตกลงร่วมกัน

    และฟังความคิดเห็นของกันอละกันก้คงจะดี

    สาระ สาระอ่ะ

    ตอบลบ
  2. แค่ทำตัวเองให้ดีก่อน รู้จักสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ควบคุมตัวเองให้ทำดีมากกว่าชั่ว ได้เสียก่อน ถึงจะไปควบคุมคนอื่นได้

    แค่นี้บ้านเมืองเราคงดีขึ้นเยอะเน๊อะแฟ้ม

    ตอบลบ
  3. ตัวผมก็มีความเห็นด้วยนะครับที่จะให้ทุกคนคุยกัน จะทำให้คนทุกคนเข้าใจกัน ไม่ยึดติดอดีต (ประวัติศาสตร์) และไม่ให้อำนาจอยู่กับคนเพียงบางกลุ่มไปนานๆ

    แต่ผมคิดว่าการคุยกันมากๆถ้าเป็นคนปัจจุบันที่ "ทุนนิยม" เป็นแก่สารของชีวิตคุยกันมากจะไม่ได้อะไรครับ เพราะทุกคนลืมความเป็นคนไปหมด เป็นแค่ "กลุ่มก้อนแห่งสัญชาตญาณ" (หรืออาจจะยิ่งกว่า) หากคนไร้ "ธรรม" คุยอะไรไปก็ไม่รู้เรื่องแหละครับ ฟันธง!

    การไม่ให้ยึดติดในประวัติศาสตร์ก็เป็นไปได้ครับ แต่น้อยนะครับ เพราะเวลารัฐใดรัฐหนึ่งจะทำอะไรก็ตาม ก็มักจะอวดอ้างตนอยู่เหนือกว่ารัฐอื่นๆเสมอ ยังจำสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ไหมครับ เยอรมัน คือ เผ่าอารยัน ส่วนญี่ปุ่น คือ ลูกพระอาทิตย์ แต่นั่นเป็นอดีตครับผมเข้าใจว่าทุกสิ่งผ่านไปแล้ว แต่ว่าปัจจุบันเกือบทุกประเทศก็ทำอย่างนั้นนะครับ เช่น อเมริกาคิดว่าตนเป็นผู้นำแห่งเสรีประชาธิปไตย (และแฮมเบอร์เกอร์ไครซิส) เป็นต้น หรือแม้แต่สยามประเทศก็ตามที เช่นมองว่ากูแน่ เพราะกูไม่เคยเสียเอกราช พี่ครับเสียเป็นชาติแล้วครับ ให้กับความโลภและทุนนิยมโว้ย

    และสุดท้ายก็คือการไม่ผูกขาดอำนาจไว้กับคนกลุ่มเดียว ผมคิดว่าใครจะมีอำนาจในการปกครองก็ช่างนะครับ หากคนๆนั้นเป็นคนที่ดีและมีความสามารถจริง โดยเฉพาะการเป็นคนดีนี่แหละ สยามประเทศเราก็เห็นนะครับ พวกชาติชั่วปกครองเมือง !

    ผมขอสรุปนะครับเราทำให้เกิดรัฐหรือสังคมอุดมคติได้ครับ ขอเพียงคนทุกคนมี "ธรรม" เท่านั้นครับไม่ยากแต่ขอให้ร่วมใจ ไม่ต้องสร้างอะไรใหม่ และ ไม่ต้องทำลายของเก่า ถ้ามีได้ แม้ชาติพันธุ์ ศาสนา เพศ อายุ ต่างกัน ก็อยู่ร่วมกันได้ เป็น "ยูโทเปียที่แท้จริง"

    ปล...ช่วยเมนต์ให้ทีครับ
    http://thanaphat00.blogspot.com/

    ตอบลบ
  4. แฟ้ม...
    ไม่ผิดหวัง...
    แฟ้มเป็นอนาคตของชาติอีกคนที่น่าจะ "พึ่งได้"
    งานของแฟ้มมีพัฒนาการที่น่าติดตาม
    แนวนี้แหละแฟ้ม ทั้งสาระ ทั้งวิธีการนำเสนอ
    ยกย่อง ยกย่อง
    ...เป็นแรงใจ...
    อาจารย์แรก

    ตอบลบ
  5. ชอบมากค่ะแนวคิดนี้
    พอดีกำลังจะเรียนเนื้อหาของคุณลุงคนนี้พอดีเลย
    แต่ อ ไห้ไปศึกษามาก่อน ทีแรกก็ งง ค่ะ ว่าลุงแกคิดอารัยของแก เพราะมันไม่ค่อยไปกับวิทยาศาสตร์ อิอิ พอดีตอน ป ตรี จบวิทยาศาสตร์มาน่ะค่ะ
    แต่พอศึกษาหลายๆเวป มาเจอที่นี่ เข้าใจเลยค่ะว่าลุงแกสื่ออะไร
    ขอบคุณพี่น่ะค่ะที่อธิบายความคิดนี้ให้ฟังง่ายขึ้น
    ถ้าทุกคนในประเทศเราได้อ่าน คงเปลี่ยนทัศนคติ ได้หลายคนเลยค่ะ
    ^^

    ตอบลบ