พูดก็พูดเถอะ ผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองถลำลึกไปติดตามข่าวสารการเมืองไทยที่แสนน่าเบื่อนี่ได้ยังไงกัน
แต่รู้ตัวอีกทีก็สนใจและรู้สึกว่าปัจเจกชนอย่างเราๆน่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแยกไม่ออก แต่ก่อนผมก็คิดเหมือนประชาชนคนทั่วไปที่เดินดินกินข้าวแกงว่าการเมืองมันเ็ป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกิน ผมเกิดและเติบโตมากับยุคที่การเมืองเป็นเรื่องที่เหมือนจะไกลตัวเรา เรามีหน้าที่คือไปเลือกตั้งนักเลือกตั้งที่มีชื่อเสียง(บารมี)ในเขตเลือกตั้งของเรา ซึ่งนั่นคือความหมายของประชาธิปไตยที่เราเข้าใจ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะโต้แย้ง ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หรืออะไรทั้งนั้น นักการเมืองเปรียบเสมือนสิ่งศักสิทธิ์ เป็นที่พึ่งยามยากที่เราต้องพึ่งพาอาศัยบารมีเขา ซึ่งต่างกับหลักการของประชาธิปไตยที่ว่าเรามีความเสมอภาค ประชาชนต้องมาก่อน คือเราต้องเป็นนายของสส.ที่มาทำงานรับใช้เรา(แล้วจะมีอิทธิพลได้ไงฟะ)
แต่ปัจจุบันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เรามีการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบ(ถึงจะทำอะไรไม่ค่อยได้ก็เถอะ) เรามีองค์กรอิสระ เรามีการรวมกลุ่ม ไม่พอใจอะไรเราก็สามารถรวมตัวประท้วง เดินขบวน ขับไล่รัฐบาลที่เราไม่พอใจ เรามีช่องทางการต่อสู้กับผู้มีอำนาจหลายช่องทาง มีช่องทีวีที่ใช้แสดงความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม (เช่นช่อง อ.อ.ทีวี หรือ ด.สเตชั่นเป็นต้น) เรามีการใช้อินเตอร์เน็ท ใช้ social network ในการติดต่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อุดมการณ์ทางการเมือง ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (รวมทั้งการไม่ทำงานด้วย) ช่องทางต่างๆเหล่านี้ทำให้เราติดต่อกันและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว นักเลือกตั้ง(ลากตั้งด้วย)เหล่านั้นก็จึงทำงานกันลำบากมากขึ้น(หรือไม่ก็ต้องหน้าด้านมากขึ้น) เรื่องการเมืองในปัจจุบันจึงไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป และเราก็สามารถสัมผัสและตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา ที่จริงแล้วเรื่องการเมืองที่แท้จริงก็ไม่ได้ไกลตัวเราอยู่แล้ว เพราะที่นักการเมืองเหล่านี้สามารถเข้าไปหาผลประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องได้ก็เพราะเราไปเข้าคูหาแล้วกาชื่อกาเบอร์พวกเขาเอง ทุกอย่างเริ่มมาจากการใช้สิทธิ์ของเราในวันเลือกตั้งนั่นเองไม่ว่าเราจะเลือกพวกเขาหรือไม่ก็ตาม(บางครั้งเราไม่ได้เลือกเค้าก็พลิกขั้วกันเองได้)
สิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือเสียงข้างมาก ตามระบอบประชาธิปไตย เราควรมองที่ตัวเองก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงมาจากเราที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองเหล่านั้นได้มีอำนาจทำตามที่พวกเขาต้องการ โดยที่ไม่คำนึงว่าการที่เราเลือกเค้าไม่ได้แปลว่าเรายกอำนาจของเราให้เค้าใช้ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป คนไทยก็ฉลาดขึ้น และก็มีส่วนร่วมกับเรื่องการเมืองมากขึ้น ทุกวันนี้ การวิจารณ์การเมืองไม่ได้เป็นเพียงหัวข้อพูดคุยในสภากาแฟของพวกคุณลุงคุณตาอีกต่อไป แต่ลามไปถึง คุณป้า คุณยาย แม่ค้าร้านตลาดก็ไม่ได้คุยกันแต่เรื่องละครหรือดาราแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แม่บ้านที่อยู่บ้านก็ดูอ.อ.ทีวีหรือด.สเตชั่น แล้วก็เกิดความรู้สึกหรือไม่ก็ชอบระบอบทักษิณ วิพากวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลว่า 6 เดือนที่ผ่านมีมีผลงานอะไรบ้าง ความสนใจในการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่กับคนกลุ่มหนึ่งๆอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามี่่ส่วนร่วมกับการเมืองมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรตระหนักคือ นักการเมืองที่รับอาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของหมู่เฮา ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีผลงานหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องไม่โกง เราควรต่อต้านทัศนะคติที่ว่า"โกงได้แต่ต้องมีผลงาน" แต่เราก็ต้องเข้าใจอีกว่า ไม่มีนักการเมืองที่เข้ามาโดยไม่หวังอะไร เพราะเขาลงทุนไม่มากเท่าไหร่ เขาก็ต้องได้รับผลประโยชน์มากเป็นเท่าตัว ทุกสิ่งที่เขาทำต้องได้รับอะไรกลับมาเสมอ มันเป็นอาชีพๆหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะจ้างติวเตอร์มาสอนเด็กผ่านดาวเทียมให้ดูฟรีๆ เขาก็หวังผลทางการตลาด หรือการแจกเงินแก่ผู้มีรายได้น้อย หรือโครงการอะไรก็แล้วแต่รวมถึงโครงการโจ๋งครึ่มอย่างรถเมล์เอ็นจีวีก็คงไม่ต้องบรรยาย ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนหวังผลประโยชน์ที่ได้มาจากพวกเราประชาชนตาดำๆทั้งสิ้น เราต้องติดตาม สนใจ เราจะปล่อยปะละเลยคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวอีกต่อไปไม่ได้ เพราะปัญหาที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของเราก่อขึ้นนั้น ได้เป็นปัญหาที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆด้าน ผลกระทบโดยตรงจึงเกิดกับเรา เพียงเราให้ความสนใจ ไม่เห็นแก่เงินที่เขาหยิบยื่นให้คืนก่อนเลือกตั้งหรือฟังลมปากคำโฆษณาของนักเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ใช้การพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าเสียงๆหนึ่งที่สำคัญของเรานั้นมีผลต่อประเทศชาติของเราทุกคน
เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทุกๆเสียงคือเสียงที่นำนักการเมืองทั้งที่ดีและไม่ดีเข้าไปมีอำนาจในสภา ปัญหามีโอกาสเกิดได้ก็มาจากเรา เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาก็สามารถเริ่มได้ที่เราเช่นกัน
ผมเชื่อเช่นนั้นน่ะครับ
แต่รู้ตัวอีกทีก็สนใจและรู้สึกว่าปัจเจกชนอย่างเราๆน่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแยกไม่ออก แต่ก่อนผมก็คิดเหมือนประชาชนคนทั่วไปที่เดินดินกินข้าวแกงว่าการเมืองมันเ็ป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกิน ผมเกิดและเติบโตมากับยุคที่การเมืองเป็นเรื่องที่เหมือนจะไกลตัวเรา เรามีหน้าที่คือไปเลือกตั้งนักเลือกตั้งที่มีชื่อเสียง(บารมี)ในเขตเลือกตั้งของเรา ซึ่งนั่นคือความหมายของประชาธิปไตยที่เราเข้าใจ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะโต้แย้ง ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หรืออะไรทั้งนั้น นักการเมืองเปรียบเสมือนสิ่งศักสิทธิ์ เป็นที่พึ่งยามยากที่เราต้องพึ่งพาอาศัยบารมีเขา ซึ่งต่างกับหลักการของประชาธิปไตยที่ว่าเรามีความเสมอภาค ประชาชนต้องมาก่อน คือเราต้องเป็นนายของสส.ที่มาทำงานรับใช้เรา(แล้วจะมีอิทธิพลได้ไงฟะ)
แต่ปัจจุบันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เรามีการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบ(ถึงจะทำอะไรไม่ค่อยได้ก็เถอะ) เรามีองค์กรอิสระ เรามีการรวมกลุ่ม ไม่พอใจอะไรเราก็สามารถรวมตัวประท้วง เดินขบวน ขับไล่รัฐบาลที่เราไม่พอใจ เรามีช่องทางการต่อสู้กับผู้มีอำนาจหลายช่องทาง มีช่องทีวีที่ใช้แสดงความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม (เช่นช่อง อ.อ.ทีวี หรือ ด.สเตชั่นเป็นต้น) เรามีการใช้อินเตอร์เน็ท ใช้ social network ในการติดต่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อุดมการณ์ทางการเมือง ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (รวมทั้งการไม่ทำงานด้วย) ช่องทางต่างๆเหล่านี้ทำให้เราติดต่อกันและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว นักเลือกตั้ง(ลากตั้งด้วย)เหล่านั้นก็จึงทำงานกันลำบากมากขึ้น(หรือไม่ก็ต้องหน้าด้านมากขึ้น) เรื่องการเมืองในปัจจุบันจึงไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป และเราก็สามารถสัมผัสและตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา ที่จริงแล้วเรื่องการเมืองที่แท้จริงก็ไม่ได้ไกลตัวเราอยู่แล้ว เพราะที่นักการเมืองเหล่านี้สามารถเข้าไปหาผลประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องได้ก็เพราะเราไปเข้าคูหาแล้วกาชื่อกาเบอร์พวกเขาเอง ทุกอย่างเริ่มมาจากการใช้สิทธิ์ของเราในวันเลือกตั้งนั่นเองไม่ว่าเราจะเลือกพวกเขาหรือไม่ก็ตาม(บางครั้งเราไม่ได้เลือกเค้าก็พลิกขั้วกันเองได้)
สิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือเสียงข้างมาก ตามระบอบประชาธิปไตย เราควรมองที่ตัวเองก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงมาจากเราที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองเหล่านั้นได้มีอำนาจทำตามที่พวกเขาต้องการ โดยที่ไม่คำนึงว่าการที่เราเลือกเค้าไม่ได้แปลว่าเรายกอำนาจของเราให้เค้าใช้ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป คนไทยก็ฉลาดขึ้น และก็มีส่วนร่วมกับเรื่องการเมืองมากขึ้น ทุกวันนี้ การวิจารณ์การเมืองไม่ได้เป็นเพียงหัวข้อพูดคุยในสภากาแฟของพวกคุณลุงคุณตาอีกต่อไป แต่ลามไปถึง คุณป้า คุณยาย แม่ค้าร้านตลาดก็ไม่ได้คุยกันแต่เรื่องละครหรือดาราแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แม่บ้านที่อยู่บ้านก็ดูอ.อ.ทีวีหรือด.สเตชั่น แล้วก็เกิดความรู้สึกหรือไม่ก็ชอบระบอบทักษิณ วิพากวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลว่า 6 เดือนที่ผ่านมีมีผลงานอะไรบ้าง ความสนใจในการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่กับคนกลุ่มหนึ่งๆอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามี่่ส่วนร่วมกับการเมืองมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรตระหนักคือ นักการเมืองที่รับอาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของหมู่เฮา ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีผลงานหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องไม่โกง เราควรต่อต้านทัศนะคติที่ว่า"โกงได้แต่ต้องมีผลงาน" แต่เราก็ต้องเข้าใจอีกว่า ไม่มีนักการเมืองที่เข้ามาโดยไม่หวังอะไร เพราะเขาลงทุนไม่มากเท่าไหร่ เขาก็ต้องได้รับผลประโยชน์มากเป็นเท่าตัว ทุกสิ่งที่เขาทำต้องได้รับอะไรกลับมาเสมอ มันเป็นอาชีพๆหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะจ้างติวเตอร์มาสอนเด็กผ่านดาวเทียมให้ดูฟรีๆ เขาก็หวังผลทางการตลาด หรือการแจกเงินแก่ผู้มีรายได้น้อย หรือโครงการอะไรก็แล้วแต่รวมถึงโครงการโจ๋งครึ่มอย่างรถเมล์เอ็นจีวีก็คงไม่ต้องบรรยาย ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนหวังผลประโยชน์ที่ได้มาจากพวกเราประชาชนตาดำๆทั้งสิ้น เราต้องติดตาม สนใจ เราจะปล่อยปะละเลยคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวอีกต่อไปไม่ได้ เพราะปัญหาที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของเราก่อขึ้นนั้น ได้เป็นปัญหาที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆด้าน ผลกระทบโดยตรงจึงเกิดกับเรา เพียงเราให้ความสนใจ ไม่เห็นแก่เงินที่เขาหยิบยื่นให้คืนก่อนเลือกตั้งหรือฟังลมปากคำโฆษณาของนักเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ใช้การพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าเสียงๆหนึ่งที่สำคัญของเรานั้นมีผลต่อประเทศชาติของเราทุกคน
เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทุกๆเสียงคือเสียงที่นำนักการเมืองทั้งที่ดีและไม่ดีเข้าไปมีอำนาจในสภา ปัญหามีโอกาสเกิดได้ก็มาจากเรา เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาก็สามารถเริ่มได้ที่เราเช่นกัน
ผมเชื่อเช่นนั้นน่ะครับ
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบเขียนดีอ่ะ เรียบเรียงได้ใจความ
ตอบลบอ่านเพลิน หลวมตัวอ่านจนจบ ><"
ไม่ขอคอมเม้นท์เรื่องการเมือง((ไม่ค่อยรู้เรื่อง))
เพราะต่อให้มันมาอยู่ใกล้ปลายจมูกแค่ไหน
นี่ก็ยังไม่ รู้เรื่อง รู้ราว อะไรกะเค้าสะที
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่อยู่ถึงโคนขนจมูกแท้ๆ
แต่ต่อจากนี้ คงได้รู้เรื่อง บ้างแล้วล่ะ
^^
ขอบคุณสำหรับบทความดีดี
โอ้ว เด็กอีโมเขียนบทความกะเค้าด้วย เยี่ยมจริงๆ
ตอบลบพี่ว่าทุกๆ คน พอเติบโตขึ้นในระดับหนึ่งก็จะเริ่มอยากเรียนรู้
สิ่งที่เรียกว่า "การเมือง"
พี่เอง ก็เริ่มสนใจตอนอยู่ปี 2 ทุกวันต้องดูข่าว
ทุกวันต้องอ่านหนังสือพิมพ์
จริงการเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่ใคร ๆ คิด
"ถึงท่านไม่ยุ่งกับการเมือง การเมืองก็ยังคงจะยุ่งกับท่าน" เพราะการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และมนุษย์เรานี่ก็เป็นสัตว์สังคมต้องอยู่ร่วมกันไปกับการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทความนี้ไม่รู้พี่เข้าใจถูกไหมว่า
แฟ้มจะบอกว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แล้วใช่หรือป่าว
ซึ่งพี่ก็เห็นด้วย ในความเป็นจริงพี่คิดว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวมานานแล้วเพียงแต่เด็กรุ่นแฟ้ม เพิ่งจะเริ่มสนใจ พี่เองก็เพิ่งเริ่มสนใจไม่กี่ปี
แต่ลองไปถามคุณลุง คุณน้า คุณปู่ ฯลฯ หลายๆ คน เขาก็ไม่ได้คิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัวหรอก เพราะเขาอยู่กับมันมาช้านานแล้ว แต่จะมากก็น้อยก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคน
แต่ทั้งนี้สิ่งที่พี่อยากจะฝากไว้อย่างหนึ่งจากสิ่งที่พี่เรียนรู้คือ
"การเมืองนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน เกินกว่าที่เราจะเข้าใจโดยอาศัยแค่ดูหรือติดตามเพียงแค่ ปี หรือสองปี ในความเป็นจริงแล้วนั้นการเมืองเป็นสิ่งที่มีระยะเวลาในการดำเนินการซึ่งเกิดจากกลุ่มคนที่เรียกว่านักการเมืองของประเทศเรา อาจบอกได้ว่าเราไม่อาจตัดสินว่าสิ่งใดถูก หรือผิด เพียงแค่เราได้ยิน ได้ฟังมา
"อย่าเอาใจ ไปไว้กับการเมือง"
หนึ่งความเห็น
พี่บอลลูน
แฟ้ม...
ตอบลบเปิดตัวได้ดี
แต่...นิดเดียวนะ..มันออกจะห่าง ๆ จากกรอบที่ให้ไปนะ
ก็...ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นการเปิดตัวทางงานเขียนที่น่าติดตามอีกคนหนึ่ง
ซักวัน เชื่อว่าแนวความคิดอย่างแฟ้ม...นำคนได้...Confirm !
...บุญรักษา...
อาจารย์แรก