Sir Karl Raimund Popper (28 July 1902 – 17 September 1994)
ทุกคนเคยฝันถึงสังคมในอุดมคติกันมั้ยครับ หรือว่าฝันถึงแต่สาวๆในอุดมคติ ขาว สวย หมวย เอ็กซ์ อะไรประมาณนั้น(ใครกันแน่เนี่ย) หรือฝันถึงนวัตกรรมใหม่ๆในอุดมคติ ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต(ว่าไปนั่น)
แต่สังคมหรือรัฐในอุดมคติพวกเนี้ยก็มีนักคิดที่เค้าคิดกันไว้หลายแบบหลายอย่างแล้ว คอมมิวนิสต์ก็แบบนึง เสรีนิยมประชาธิปไตยก็แบบนึง แล้วแบบไหนจะดีที่สุดล่ะเนี่ย ผมเห็นด้วยกับแนวคิดของอีตาลุงข้างบนนั่นน่ะ เขาคือ คาร์ล ปอปเปอร์ เป็นนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรีย แกไปทำงานอยู่ที่อังกฤษไปสอนหนังสือ แล้วก็เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม คุณลุงปอปเปอร์เนี่ยแกมองว่าความจริงแท้นั้นไม่มี ในทางการเมืองนั้น ใครจะอ้างว่าทัศนะของตัวเองถูกที่สุดทั้งหมดนั้นไม่มีเหตุผลรองรับได้ การเมืองก็เหมือนกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงไม่มีทางสร้างสังคมในอุดมคติแบบใดแบบหนึ่งขึ้นมาได้ เราต้องพยายามแก้ปัญหาไปตลอดเวลา แต่แกเห็นว่า สังคมที่ผู้สร้างนโยบายจะแก้ปัญหาในเชิงปฏิบัติได้ดีที่สุดคือ สังคมเปิด(Open Society)
แล้วสังคมเปิดคืออะไรกันล่ะเนี่ย
คุณลุงปอปเปอร์เขียนไว้ในหนังสือชื่อ The Open Society and Its Enemies ซึ่งเขาเสนอถึงลักษณะของสังคมปิด คือ มีลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์นิยม อันเป็นการศึกษาข้อมูลในประวัติศาสตร์ และไปกำหนดเหตุการณ์ในอนาคต ส่วนลักษณะอีกประการหนึ่ง สังคมปิดเป็นสังคมที่มีชีวิต โดยการทำให้ทุกชีวิตถูกเกี่ยวโยงกันเป็นหน่วยร่วมกันขึ้นต่อรัฐ
ส่วนลักษณะของสังคมเปิด ปอปเปอร์ เห็นว่าควรมีพื้นฐานว่า อำนาจ รัฐไม่ควรอยู่ในมือใครกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด โดยรัฐก็ควรควบคุมระดับเสรีภาพไม่ให้มีการแทรกแซงในเรื่องเศรษฐกิจและชีวิต ทางสังคมมากเกินไป และให้ผู้คนมีสิทธิ์เข้ามีส่วนร่วมในสถาบันต่างๆ ที่รัฐสร้างขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถวิพากษ์วิจารณ์ความคิดต่างๆ ได้โดยเสรี และสังคมแบบนี้เป็นสังคมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง (อาจหมายถึงการปฏิวัติ) แต่ทั้งนี้ปอปเปอร์ก็ไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่า สังคมเปิดนั้นเป็นสังคมประชาธิปไตย แต่อย่างใด
ผมว่าสังคมที่ยอมรับการอภิปราย การวิพากษ์วิจารณ์ เปิดกว้างทางความคิด เป็นสังคมที่ดีนะครับ มีอะไรก็คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดกัน น่าจะทำให้ไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งหลายๆเรื่องเหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ผมว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุผลนะครับ น่าจะพูดกันด้วยเหตุด้วยผลได้ ไม่ควรมีการใช้กำลัง ใช้อำนาจ อะไรต่างๆทำร้ายกัน เราไม่ควรเป็นสังคมปิดที่ยึดติดกับประวัติศาสตร์มากเกินไป เราก็รู้นี่ครับว่าประวัติศาสตร์น่ะ มันเขียนขึ้นตามเจตนารมย์ของผู้เขียน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไป ดังนั้นผมจึงคิดว่าOpen Society นี่แหละที่เป็นสังคมในอุดมคติของผม ยิ่งคุยกันมาก แลกเปลี่ยนความคิดกันมาก ยอมรับความเห็นต่างซึ่งกันและกัน ก็จะพัฒนาทั้งความรู้และจิตใจของปัจเจกและสังคมไปด้วย คนเราเห็นต่างได้ครับ แต่ต้องมีเหตุผล และต้องยอมรับเหตุผลซึ่งกันและกัน อย่ามองคนอื่นในแง่ลบไปหมด ฟังเหตุผลของคนอื่นบ้างว่าเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้หรือไม่ มองในมุมเราอาจจะไม่เข้าใจเขา แต่บางครั้งเราไปยืนอยู่ในมุมของเขาเราก็จะเข้าใจเองแหละครับ อยู่ที่ว่าเราจะมีใจเปิดกว้างยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างหรือเปล่า เท่านั้นเอง
เหมือนปัญหาที่เราเห็นกันอยู่ ความแตกแย้งที่เกิดขึ้น ประชาธิปไตยเนี่ย เค้าว่า คนเรามีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ก็ต้องยอมรับความเห็นต่างด้วย คำว่ายอมรับเนี่ยมันได้แปลว่าเราแพ้หรือเราผิดนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ความแตกแย้งดำเนินเรื่อยไป เราก็น่าจะสนใจเรื่องการยอมรับความเห็นต่าง มากกว่าผลประโยชน์ ไม่ใช่มองว่าอีกฝั่งที่ไม่คิดเหมือนเราเขาผิด และเราถูก เพราะเขาแพ้เราเลยมีความชอบธรรม เราเลยเป็นความถูกต้อง คนเรามีสิทธิเท่าเทียมกันครับ มีคุณค่ามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนๆกัน ต่างกันตรงหน้าที่ของแต่ละคนต่างกัน เลยดูเหมือนคนเราสูงต่ำไม่เท่ากัน ถ้ายอมรับความต่างได้ ก็จะอยู่ร่วมกันได้
ไม่ยากนะครับจริงๆแล้วเนี่ย
"คนถูกฆ่าเนื่องจากความโง่เขลามากกว่าจากความชั่วร้าย"
คาร์ล ปอปเปอร์
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ทัศนะการเมืองของค้านท์

" ศีลธรรมจริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องของหลักในการทำให้เรามีความสุข แต่เป็นเรื่องว่า เราจะทำตัวให้มีคุณค่าเหมาะสมกับการมีความสุขอย่างไร "
Immanuel Kant (22 April 1724 – 12 February 1804)
รูปภาพและคำกล่าวข้างต้นนี้เป็นของนักปรัชญาชาวเยอรมันที่ชื่อ อิมมานูเอล ค้านท์ ครับ
ว่ากันว่า เขาเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่คนแรกนับจากยุคกลาง ค้านท์ยึดถือเรื่องหน้าที่เป็นสำคัญ เขาว่าคนที่ดีคือคนที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด คานท์ให้น้ำหนักกับเรื่องศีลธรรมด้วยเช่นกัน แต่ผมจะพูดถึงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของเขาครับ
ค้านท์สนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย และไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองโดยสายเลือด(นี่ถ้าคานท์มาเกิดในยุคนี้คงอกแตกตายแน่เลย เพราะเค้าสืบทอดกันถ้วนหน้าโดยเฉพาะพวกที่ถูกแบนอ่ะ) แต่เขามองว่าระบบการปกครองที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นมีประโยชน์อยู่มาก ซึ่งผมก็เห็นด้วยเช่นกันกับการที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญใช้ร่วมกันทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย(แต่อาจจะหลายมาตรฐาน)
ระบอบต่างๆที่ปกครองประเทศเรามายาวนาน วัฒนธรรม จารีต ประเพณีและทัศนะคติของชาติไทยเรานั้น ผมคิดว่าไม่เหมาะกับเสรีนิยมประชาธิปไตยแบบอเมริกา เพราะเขาเป็นประเทศที่ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เคยเป็นแคว้นโบราณอะไรอย่างนั้น แต่เกิดจากคนหลายๆชาติมารวมตัวกัน มีข้อตกลงร่วมกัน แล้วคนเหล่านั้นก็เป็นชาวยุโรป ที่ส่วนมากเป็นประเทศที่พัฒนาไปไกลกว่าบ้านเรา มีการศึกษา มีระบบระเบียบมานานแล้ว เมื่อคนมีความคิด รู้หน้าที่ ก็สามารถมีอิสระ มีเสรีภาพได้ภายใต้ขอบเขตที่พอดี รากฐานวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้เราไม่สมารถนำระบบแบบอเมริกามาใช้ได้ทั้งหมด แม้แต่อังกฤษเองที่ใช้ระบอบคล้ายกับเรา แต่เขาก็ไม่ได้รักเคารพ เทิดทูน Queen ของเขามากเหมือนบ้านเรา(นี่ผมไม่ได้ว่าคนอังกฤษไม่ดีนะครับ) คนไทยทุกคนรักในหลวง และคนไทยหลายๆคนก็ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
ระบอบประชาธิปไตยนั้นมาจากโลกตะวันตก มันเริ่มมาด้วยบริบทที่ต่างกับโลกตะวันออกของเรา ผมว่าจึงเป็นการดีที่เรารับระบอบประชาธิปไตยเข้ามาแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทุกคน ยิ่งตอนนี้ชาติบ้านเมืองเราเกิดการแตกแยกทางความคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ฝ่ายที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างผมก็อยากขอให้คำนึงตรงจุดนี้กันนิดนึงว่า
คนไทยเราเนี่ยมีพ่อคนเดียวกันนะครับ
ว่ากันว่า เขาเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่คนแรกนับจากยุคกลาง ค้านท์ยึดถือเรื่องหน้าที่เป็นสำคัญ เขาว่าคนที่ดีคือคนที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด คานท์ให้น้ำหนักกับเรื่องศีลธรรมด้วยเช่นกัน แต่ผมจะพูดถึงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของเขาครับ
ค้านท์สนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย และไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองโดยสายเลือด(นี่ถ้าคานท์มาเกิดในยุคนี้คงอกแตกตายแน่เลย เพราะเค้าสืบทอดกันถ้วนหน้าโดยเฉพาะพวกที่ถูกแบนอ่ะ) แต่เขามองว่าระบบการปกครองที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นมีประโยชน์อยู่มาก ซึ่งผมก็เห็นด้วยเช่นกันกับการที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญใช้ร่วมกันทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย(แต่อาจจะหลายมาตรฐาน)
ระบอบต่างๆที่ปกครองประเทศเรามายาวนาน วัฒนธรรม จารีต ประเพณีและทัศนะคติของชาติไทยเรานั้น ผมคิดว่าไม่เหมาะกับเสรีนิยมประชาธิปไตยแบบอเมริกา เพราะเขาเป็นประเทศที่ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เคยเป็นแคว้นโบราณอะไรอย่างนั้น แต่เกิดจากคนหลายๆชาติมารวมตัวกัน มีข้อตกลงร่วมกัน แล้วคนเหล่านั้นก็เป็นชาวยุโรป ที่ส่วนมากเป็นประเทศที่พัฒนาไปไกลกว่าบ้านเรา มีการศึกษา มีระบบระเบียบมานานแล้ว เมื่อคนมีความคิด รู้หน้าที่ ก็สามารถมีอิสระ มีเสรีภาพได้ภายใต้ขอบเขตที่พอดี รากฐานวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้เราไม่สมารถนำระบบแบบอเมริกามาใช้ได้ทั้งหมด แม้แต่อังกฤษเองที่ใช้ระบอบคล้ายกับเรา แต่เขาก็ไม่ได้รักเคารพ เทิดทูน Queen ของเขามากเหมือนบ้านเรา(นี่ผมไม่ได้ว่าคนอังกฤษไม่ดีนะครับ) คนไทยทุกคนรักในหลวง และคนไทยหลายๆคนก็ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
ระบอบประชาธิปไตยนั้นมาจากโลกตะวันตก มันเริ่มมาด้วยบริบทที่ต่างกับโลกตะวันออกของเรา ผมว่าจึงเป็นการดีที่เรารับระบอบประชาธิปไตยเข้ามาแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทุกคน ยิ่งตอนนี้ชาติบ้านเมืองเราเกิดการแตกแยกทางความคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ฝ่ายที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างผมก็อยากขอให้คำนึงตรงจุดนี้กันนิดนึงว่า
คนไทยเราเนี่ยมีพ่อคนเดียวกันนะครับ
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
การเมืองเรื่องไกลตัว?(รึป่าว)
พูดก็พูดเถอะ ผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองถลำลึกไปติดตามข่าวสารการเมืองไทยที่แสนน่าเบื่อนี่ได้ยังไงกัน
แต่รู้ตัวอีกทีก็สนใจและรู้สึกว่าปัจเจกชนอย่างเราๆน่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแยกไม่ออก แต่ก่อนผมก็คิดเหมือนประชาชนคนทั่วไปที่เดินดินกินข้าวแกงว่าการเมืองมันเ็ป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกิน ผมเกิดและเติบโตมากับยุคที่การเมืองเป็นเรื่องที่เหมือนจะไกลตัวเรา เรามีหน้าที่คือไปเลือกตั้งนักเลือกตั้งที่มีชื่อเสียง(บารมี)ในเขตเลือกตั้งของเรา ซึ่งนั่นคือความหมายของประชาธิปไตยที่เราเข้าใจ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะโต้แย้ง ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หรืออะไรทั้งนั้น นักการเมืองเปรียบเสมือนสิ่งศักสิทธิ์ เป็นที่พึ่งยามยากที่เราต้องพึ่งพาอาศัยบารมีเขา ซึ่งต่างกับหลักการของประชาธิปไตยที่ว่าเรามีความเสมอภาค ประชาชนต้องมาก่อน คือเราต้องเป็นนายของสส.ที่มาทำงานรับใช้เรา(แล้วจะมีอิทธิพลได้ไงฟะ)
แต่ปัจจุบันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เรามีการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบ(ถึงจะทำอะไรไม่ค่อยได้ก็เถอะ) เรามีองค์กรอิสระ เรามีการรวมกลุ่ม ไม่พอใจอะไรเราก็สามารถรวมตัวประท้วง เดินขบวน ขับไล่รัฐบาลที่เราไม่พอใจ เรามีช่องทางการต่อสู้กับผู้มีอำนาจหลายช่องทาง มีช่องทีวีที่ใช้แสดงความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม (เช่นช่อง อ.อ.ทีวี หรือ ด.สเตชั่นเป็นต้น) เรามีการใช้อินเตอร์เน็ท ใช้ social network ในการติดต่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อุดมการณ์ทางการเมือง ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (รวมทั้งการไม่ทำงานด้วย) ช่องทางต่างๆเหล่านี้ทำให้เราติดต่อกันและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว นักเลือกตั้ง(ลากตั้งด้วย)เหล่านั้นก็จึงทำงานกันลำบากมากขึ้น(หรือไม่ก็ต้องหน้าด้านมากขึ้น) เรื่องการเมืองในปัจจุบันจึงไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป และเราก็สามารถสัมผัสและตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา ที่จริงแล้วเรื่องการเมืองที่แท้จริงก็ไม่ได้ไกลตัวเราอยู่แล้ว เพราะที่นักการเมืองเหล่านี้สามารถเข้าไปหาผลประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องได้ก็เพราะเราไปเข้าคูหาแล้วกาชื่อกาเบอร์พวกเขาเอง ทุกอย่างเริ่มมาจากการใช้สิทธิ์ของเราในวันเลือกตั้งนั่นเองไม่ว่าเราจะเลือกพวกเขาหรือไม่ก็ตาม(บางครั้งเราไม่ได้เลือกเค้าก็พลิกขั้วกันเองได้)
สิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือเสียงข้างมาก ตามระบอบประชาธิปไตย เราควรมองที่ตัวเองก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงมาจากเราที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองเหล่านั้นได้มีอำนาจทำตามที่พวกเขาต้องการ โดยที่ไม่คำนึงว่าการที่เราเลือกเค้าไม่ได้แปลว่าเรายกอำนาจของเราให้เค้าใช้ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป คนไทยก็ฉลาดขึ้น และก็มีส่วนร่วมกับเรื่องการเมืองมากขึ้น ทุกวันนี้ การวิจารณ์การเมืองไม่ได้เป็นเพียงหัวข้อพูดคุยในสภากาแฟของพวกคุณลุงคุณตาอีกต่อไป แต่ลามไปถึง คุณป้า คุณยาย แม่ค้าร้านตลาดก็ไม่ได้คุยกันแต่เรื่องละครหรือดาราแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แม่บ้านที่อยู่บ้านก็ดูอ.อ.ทีวีหรือด.สเตชั่น แล้วก็เกิดความรู้สึกหรือไม่ก็ชอบระบอบทักษิณ วิพากวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลว่า 6 เดือนที่ผ่านมีมีผลงานอะไรบ้าง ความสนใจในการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่กับคนกลุ่มหนึ่งๆอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามี่่ส่วนร่วมกับการเมืองมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรตระหนักคือ นักการเมืองที่รับอาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของหมู่เฮา ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีผลงานหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องไม่โกง เราควรต่อต้านทัศนะคติที่ว่า"โกงได้แต่ต้องมีผลงาน" แต่เราก็ต้องเข้าใจอีกว่า ไม่มีนักการเมืองที่เข้ามาโดยไม่หวังอะไร เพราะเขาลงทุนไม่มากเท่าไหร่ เขาก็ต้องได้รับผลประโยชน์มากเป็นเท่าตัว ทุกสิ่งที่เขาทำต้องได้รับอะไรกลับมาเสมอ มันเป็นอาชีพๆหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะจ้างติวเตอร์มาสอนเด็กผ่านดาวเทียมให้ดูฟรีๆ เขาก็หวังผลทางการตลาด หรือการแจกเงินแก่ผู้มีรายได้น้อย หรือโครงการอะไรก็แล้วแต่รวมถึงโครงการโจ๋งครึ่มอย่างรถเมล์เอ็นจีวีก็คงไม่ต้องบรรยาย ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนหวังผลประโยชน์ที่ได้มาจากพวกเราประชาชนตาดำๆทั้งสิ้น เราต้องติดตาม สนใจ เราจะปล่อยปะละเลยคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวอีกต่อไปไม่ได้ เพราะปัญหาที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของเราก่อขึ้นนั้น ได้เป็นปัญหาที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆด้าน ผลกระทบโดยตรงจึงเกิดกับเรา เพียงเราให้ความสนใจ ไม่เห็นแก่เงินที่เขาหยิบยื่นให้คืนก่อนเลือกตั้งหรือฟังลมปากคำโฆษณาของนักเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ใช้การพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าเสียงๆหนึ่งที่สำคัญของเรานั้นมีผลต่อประเทศชาติของเราทุกคน
เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทุกๆเสียงคือเสียงที่นำนักการเมืองทั้งที่ดีและไม่ดีเข้าไปมีอำนาจในสภา ปัญหามีโอกาสเกิดได้ก็มาจากเรา เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาก็สามารถเริ่มได้ที่เราเช่นกัน
ผมเชื่อเช่นนั้นน่ะครับ
แต่รู้ตัวอีกทีก็สนใจและรู้สึกว่าปัจเจกชนอย่างเราๆน่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแยกไม่ออก แต่ก่อนผมก็คิดเหมือนประชาชนคนทั่วไปที่เดินดินกินข้าวแกงว่าการเมืองมันเ็ป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกิน ผมเกิดและเติบโตมากับยุคที่การเมืองเป็นเรื่องที่เหมือนจะไกลตัวเรา เรามีหน้าที่คือไปเลือกตั้งนักเลือกตั้งที่มีชื่อเสียง(บารมี)ในเขตเลือกตั้งของเรา ซึ่งนั่นคือความหมายของประชาธิปไตยที่เราเข้าใจ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะโต้แย้ง ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หรืออะไรทั้งนั้น นักการเมืองเปรียบเสมือนสิ่งศักสิทธิ์ เป็นที่พึ่งยามยากที่เราต้องพึ่งพาอาศัยบารมีเขา ซึ่งต่างกับหลักการของประชาธิปไตยที่ว่าเรามีความเสมอภาค ประชาชนต้องมาก่อน คือเราต้องเป็นนายของสส.ที่มาทำงานรับใช้เรา(แล้วจะมีอิทธิพลได้ไงฟะ)
แต่ปัจจุบันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เรามีการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบ(ถึงจะทำอะไรไม่ค่อยได้ก็เถอะ) เรามีองค์กรอิสระ เรามีการรวมกลุ่ม ไม่พอใจอะไรเราก็สามารถรวมตัวประท้วง เดินขบวน ขับไล่รัฐบาลที่เราไม่พอใจ เรามีช่องทางการต่อสู้กับผู้มีอำนาจหลายช่องทาง มีช่องทีวีที่ใช้แสดงความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม (เช่นช่อง อ.อ.ทีวี หรือ ด.สเตชั่นเป็นต้น) เรามีการใช้อินเตอร์เน็ท ใช้ social network ในการติดต่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อุดมการณ์ทางการเมือง ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (รวมทั้งการไม่ทำงานด้วย) ช่องทางต่างๆเหล่านี้ทำให้เราติดต่อกันและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว นักเลือกตั้ง(ลากตั้งด้วย)เหล่านั้นก็จึงทำงานกันลำบากมากขึ้น(หรือไม่ก็ต้องหน้าด้านมากขึ้น) เรื่องการเมืองในปัจจุบันจึงไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป และเราก็สามารถสัมผัสและตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา ที่จริงแล้วเรื่องการเมืองที่แท้จริงก็ไม่ได้ไกลตัวเราอยู่แล้ว เพราะที่นักการเมืองเหล่านี้สามารถเข้าไปหาผลประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องได้ก็เพราะเราไปเข้าคูหาแล้วกาชื่อกาเบอร์พวกเขาเอง ทุกอย่างเริ่มมาจากการใช้สิทธิ์ของเราในวันเลือกตั้งนั่นเองไม่ว่าเราจะเลือกพวกเขาหรือไม่ก็ตาม(บางครั้งเราไม่ได้เลือกเค้าก็พลิกขั้วกันเองได้)
สิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือเสียงข้างมาก ตามระบอบประชาธิปไตย เราควรมองที่ตัวเองก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงมาจากเราที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองเหล่านั้นได้มีอำนาจทำตามที่พวกเขาต้องการ โดยที่ไม่คำนึงว่าการที่เราเลือกเค้าไม่ได้แปลว่าเรายกอำนาจของเราให้เค้าใช้ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป คนไทยก็ฉลาดขึ้น และก็มีส่วนร่วมกับเรื่องการเมืองมากขึ้น ทุกวันนี้ การวิจารณ์การเมืองไม่ได้เป็นเพียงหัวข้อพูดคุยในสภากาแฟของพวกคุณลุงคุณตาอีกต่อไป แต่ลามไปถึง คุณป้า คุณยาย แม่ค้าร้านตลาดก็ไม่ได้คุยกันแต่เรื่องละครหรือดาราแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แม่บ้านที่อยู่บ้านก็ดูอ.อ.ทีวีหรือด.สเตชั่น แล้วก็เกิดความรู้สึกหรือไม่ก็ชอบระบอบทักษิณ วิพากวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลว่า 6 เดือนที่ผ่านมีมีผลงานอะไรบ้าง ความสนใจในการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่กับคนกลุ่มหนึ่งๆอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามี่่ส่วนร่วมกับการเมืองมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรตระหนักคือ นักการเมืองที่รับอาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของหมู่เฮา ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีผลงานหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องไม่โกง เราควรต่อต้านทัศนะคติที่ว่า"โกงได้แต่ต้องมีผลงาน" แต่เราก็ต้องเข้าใจอีกว่า ไม่มีนักการเมืองที่เข้ามาโดยไม่หวังอะไร เพราะเขาลงทุนไม่มากเท่าไหร่ เขาก็ต้องได้รับผลประโยชน์มากเป็นเท่าตัว ทุกสิ่งที่เขาทำต้องได้รับอะไรกลับมาเสมอ มันเป็นอาชีพๆหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะจ้างติวเตอร์มาสอนเด็กผ่านดาวเทียมให้ดูฟรีๆ เขาก็หวังผลทางการตลาด หรือการแจกเงินแก่ผู้มีรายได้น้อย หรือโครงการอะไรก็แล้วแต่รวมถึงโครงการโจ๋งครึ่มอย่างรถเมล์เอ็นจีวีก็คงไม่ต้องบรรยาย ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนหวังผลประโยชน์ที่ได้มาจากพวกเราประชาชนตาดำๆทั้งสิ้น เราต้องติดตาม สนใจ เราจะปล่อยปะละเลยคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวอีกต่อไปไม่ได้ เพราะปัญหาที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของเราก่อขึ้นนั้น ได้เป็นปัญหาที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆด้าน ผลกระทบโดยตรงจึงเกิดกับเรา เพียงเราให้ความสนใจ ไม่เห็นแก่เงินที่เขาหยิบยื่นให้คืนก่อนเลือกตั้งหรือฟังลมปากคำโฆษณาของนักเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ใช้การพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าเสียงๆหนึ่งที่สำคัญของเรานั้นมีผลต่อประเทศชาติของเราทุกคน
เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทุกๆเสียงคือเสียงที่นำนักการเมืองทั้งที่ดีและไม่ดีเข้าไปมีอำนาจในสภา ปัญหามีโอกาสเกิดได้ก็มาจากเรา เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาก็สามารถเริ่มได้ที่เราเช่นกัน
ผมเชื่อเช่นนั้นน่ะครับ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)